เกิดมามัวเมา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่ ) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรม สัจธรรมนะ สัจธรรม สัจธรรมสิ่งที่เราแสวงหา เราแสวงหาสัจธรรมเพื่อให้หัวใจเรามีคุณธรรม ถ้าหัวใจเรามีแต่กิเลสไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำหัวใจนี้ไว้ หัวใจนี้เวลาเกิดมาเป็นมนุษย์ ถึงไม่เห็นคุณค่าของความเกิดมาเป็นมนุษย์ เวลาเกิดมานะ มัวเมาในชีวิต ถ้ามัวเมาในชีวิต เราใช้ชีวิตของเราไป เห็นไหม ด้วยอำนาจวาสนานะ การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก
ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ สิ่งที่มีเพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เราถึงเกิดมา เรามีชีวิต เราถึงสถานะความเป็นมนุษย์ เราทำสิ่งใดเป็นผลประโยชน์กับเรา ถ้าทางโลก ทางโลกเขาทำมาหากินกัน เขาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ เขามีชื่อมีเสียงในสังคม แต่มีชื่อเสียงในสังคมนั้นก็เป็นสังคมไง แบบโลกไง โลกียปัญญา ปัญญาทางโลก ความประสบ ประสบความสำเร็จทางโลก
แต่การเกิดมานี้เกิดมาจากอริยทรัพย์ เพราะเกิดมีมนุษยสมบัติถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ สิ่งที่เกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์มีคุณค่ามาก ธรรมะองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มัวเมาในชีวิตไง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าควรจะมัวเมาในชีวิต เพราะเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เวลาพราหมณ์พยากรณ์ เห็นไหม ถ้าอยู่ทางโลกจะได้เป็นจักรพรรดิ ถ้าได้เป็นจักรพรรดินะ พระเจ้าสุทโธทนะพยายามเลี้ยงดู พยายามทุกวิถีทาง พยายามจะให้เจ้าชายสิทธัตถะได้ครองบัลลังก์
แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่มัวเมากับชีวิต เห็นไหม ถ้าเป็นการมัวเมากับชีวิต แล้วชีวิตมีความเพลิดเพลินมีความสุขกับทางโลกเขา ใครจะหาทางออก มันมีความสุขอยู่แล้ว มันมีความพอใจทางโลกอยู่แล้ว เห็นไหม ขนาดองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเกิดมามีสถานะจะได้เป็นกษัตริย์ ยังไม่มัวเมาชีวิต เวลาไปเที่ยวสวน ไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันสะเทือนหัวใจไง
“คนเราเกิดมา เกิดมาเราก็ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายไปตามเขาใช่ไหม”
แต่เวลาถ้ามีปัญญาได้ขนาดนี้ ดูสิ เวลาสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ๆ ถ้าไม่ได้สร้างสมบุญญาธิการมาขนาดนี้จะมีความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้หรือ ทั้งๆ ที่บางคนก็มีความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ แต่หาทางออกด้วยตัวเองไม่ได้ ถ้าหาทางออกด้วยตัวเองไม่ได้ต้องยอมจำนนกับชีวิตนี้ไปไง ถ้ายอมจำนนกับชีวิตนี้ไป ถ้าคนมัวเมากับชีวิต แล้วสิ่งที่มันไม่มีความสามารถจะหาทางออกได้ มันก็ใช้ชีวิตไปอย่างนั้น
ดูทางโลกเขาสิ เวลาความทุกข์ความยาก เห็นไหม เวลาเขามีงานรื่นเริงกัน เขามีต่างๆ กัน เราดูเราว่าเขามีความสุขนะ แต่คนที่เขามีอาชีพแบบนั้นมันเป็นงานของเขา เขาทำเพื่อเงินเพื่อทองของเขา ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจ ทุกดวงใจว้าเหว่นะ แต่เขาไม่มีทางออก เห็นไหม
ถ้าเขามีทางออก เขาก็ลุ่มหลงในชีวิตของเขาไป ถ้าคนไม่มีสติปัญญามัวเมาชีวิต มัวเมาชีวิตก็เห็นสถานะไง สถานะของความเป็นมนุษย์ สถานะเราเกิดมา เห็นไหม มีทิฏฐิมานะ ศักดิ์ศรี มีศักดิ์ศรีใครดูถูกไม่ได้ ใครติฉินนินทาไม่ได้ ใครทำสิ่งใดไม่ได้ ถ้าทำสิ่งใดไม่ได้ทำไมไม่รักษาไว้ให้มันอยู่ค้ำฟ้าล่ะ ทำไมปล่อยให้ชีวิตนี้มันต้องร่วงไปล่ะ ถ้าชีวิตนี้ร่วงลงไป แล้วร่วงไปไหนล่ะ ร่วงไป เห็นไหม
กว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์มันแสนยาก เราสร้างสมบุญญาธิการมาขนาดไหนถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์อยู่นี่ แล้วเวลาเกิดเป็นมนุษย์แล้วชีวิตของเรา เห็นไหม ใช่! ในทางโลกเขา ดูสิ ในเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นทรัพยากรมนุษย์มันมีคุณค่า ชาติใดที่เขาเจริญรุ่งเรืองนั้นเพราะทรัพยากรของเขามีปัญญาของเขา นวัตกรรมต่างๆ ที่คิดขึ้นมาก็คิดมาจากมนุษย์ทั้งนั้น
ดูสิ สมัยโบราณ เห็นไหม ถ้าโลกยังไม่เจริญ วัณโรคยังไม่มียารักษาเลย เวลาโรคระบาดมานี่มนุษย์ตายหมดครึ่งโลกค่อนโลกเลยล่ะ เขามีแต่ความสังเวชนะ เขาพยายามค้นคว้ากัน หานวกรรม หายามาเพื่อบำรุงรักษา เพราะคุณภาพชีวิตๆ แล้วใครทำสิ่งใดไว้ เราจะระลึกถึงคุณเขาเลยนะ ใครคิดยาชนิดใดได้ ใครคิดนวัตกรรมสิ่งต่างๆ ให้มนุษย์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทุกคนจะคิดถึงคุณของเขาๆ น่ะ
แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม มันยิ่งกว่าคุณภาพชีวิตอีกล่ะ มันคุณภาพของจิต ดูจิตที่มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จะเวียนว่ายตายเกิดมันไม่มีทางไป ไม่มีทางออกนะ
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม เวลาเสวยวิมุตติสุขมันสุขมาก ความสุขมาก เห็นไหม ด้วยความปรารถนา ด้วยความปรารถนาองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มัวเมาในชีวิต เวลาจะออกประพฤติปฏิบัติค้นคว้าศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ค้นคว้ามามหาศาล เขามีทางใดมีช่องทางสิ่งใดที่จะออกได้พยายามไปกับเขา เห็นไหม ยอมจำนนเพราะไม่มีทางออกไง
พอไม่มีทางออก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับมา “เราทดสอบมาหมดแล้วแหละ สุดท้ายแล้วเราก็ต้องมาทำของเราเอง” ถ้าทำของเราเอง คิดถึงความที่เราประพฤติปฏิบัติมา ความสุขขนาดไหน เข้าฌานสมาบัติได้ขนาดไหน อุทกดาบส อาฬารดาบสบอกแล้วได้สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาทบทวนในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดถึงตอนเป็นราชกุมารอยู่ที่โคนต้นหว้านั้น อานาปานสติ เวลาคิดถึงอานาปานสติ ความสุขอันนั้นมันฝังใจอยู่ไง
เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาจิตมันสงบขึ้นมามันจะฝังใจมาก มันเคยได้หนหนึ่ง ได้สัมผัสหนหนึ่ง มันเป็นปัจจัตตังเฉพาะหัวใจดวงนั้นมันฝังใจ แต่ฝังใจแล้วเราก็ใช้ไม่เป็น เราทำไม่ได้ เราจะดำเนินการไปอย่างไร
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับมา ตั้งแต่ราชกุมาร เห็นไหม อานาปานสติอันนั้นมันฝังใจ ถ้าฝังใจ ถ้าเราขวนขวาย เราพยายามค้นคว้าไปทางอื่นหมดแล้ว แล้วมันไปไม่ได้ กลับมาเอาตัวนี้เป็นจุดเริ่มต้น
ถ้าจุดเริ่มต้นขึ้นมา เวลามันเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า สิ่งนี้ถ้าไม่มัวเมากับชีวิต ไม่มัวเมากับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ความว่า “มัวเมากับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก” เวลาเราประพฤติปฏิบัติไปสิ่งใด เราพบเห็นสิ่งใด เราก็ยึดมั่นถือมั่นว่าความรู้ความเห็นของเรามันจะเป็นคุณธรรม มันจะเป็นความจริง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคิดย้อนระลึกไปถึงเป็นราชกุมาร ความสุขที่เราได้จากอานาปานสติ ความสุขอย่างนั้น สัมมาสมาธิอย่างนั้นมันยังฝังใจอยู่ ถ้าฝังใจอยู่ เราค้นคว้ามาแล้วสิ่งต่างๆ ที่มันจะมีคุณค่าเท่านี้มันยังหาไม่ได้ เรากลับไปตั้งแต่เริ่มต้นจากตรงนั้น เริ่มต้นจากตรงนั้นกำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออกด้วยสติด้วยปัญญาของเจ้าชายสิทธัตถะ พิจารณาไปถึงที่สุดจิตมันสงบระงับเข้ามา จิตสงบเข้ามา เห็นไหม บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เราเป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา”
นี่ไง เพราะอะไร เพราะเป็นศาสดาไง เป็นครูเอกของโลกไง สิ่งที่มีคุณค่าๆ คุณค่าอย่างนี้เทวดา อินทร์ พรหมนะ ยกย่องสรรเสริญหมดล่ะ แต่ในเมื่อเราเป็นมนุษย์ มนุษย์ในทางโลก ผู้ใดที่คิดค้น ผู้ใดทำสิ่งใดเพื่อเป็นประโยชน์กับโลก เราก็เห็นคุณค่าของเขา โลกเขาสรรเสริญของเขา แล้วทุกคนก็ชื่นชมของเขา เพราะมันจับต้องได้ แต่เวลาความสุขความทุกข์ในหัวใจ ความสุขความทุกข์ในหัวใจมันบีบคั้นขึ้นมา ทุกข์จนทำร้ายตัวเอง ทุกข์จนยอมจำนนกับมัน ไม่มีทางออกไง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม เทศนาว่าการ เทศนาว่าการนะ ผู้ใดทุกข์ ดูสิ เวลาไปเทศน์กับยสะ “ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ” ท่านเป็นลูกเศรษฐีเหมือนกัน “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่เดือดร้อนหนอ” ในโลกมันมีแต่ความบีบคั้นทั้งนั้น กิเกสตัณหาความทะยานอยากมันบีบคั้นหัวใจ มันไม่ปล่อยให้ดวงใจดวงใดพ้นจากอำนาจมันไปทั้งนั้น ทุกดวงใจว้าเหว่ๆ แล้วไม่มีทางออกไง
“ยสะมานี่ ยสะที่นี่ไม่เดือดร้อน ที่นี่ไม่ขัดข้อง”
แล้วไม่เดือดร้อน ไม่ขัดข้อง เธอจงกำหนดลมหายใจเข้าออก พิจารณาไป “ที่นี่ไม่เดือดร้อน ที่นี่ไม่ขัดข้อง” มันไม่เดือดร้อนไม่ขัดข้องที่ไหนล่ะ มันไม่เดือดร้อนมันไม่ขัดข้องที่ในหัวใจไง ถ้าในหัวใจ ถ้าเรารื้อค้น เรารื้อค้นเข้ามาในใจของเรา เราจับต้องในใจของเราได้ เราพิจารณาของเราให้มันสำรอกมันคายของมันนะ
โลกนี้สรรพสิ่งนี้เป็นสักแต่ว่า มันเป็นสักแต่ว่านะ สักแต่ว่า ของที่เป็นสักแต่ว่ากับของที่เป็นสักแต่ว่ามันก็เข้ากันได้ใช่ไหม โลกนี้เป็นของสักแต่ว่า แต่ยสะได้มาถอนอัตตา-นุทิฏฐิ อัตตานุทิฏฐิเห็นสักแต่ว่า แต่มันก็ยังจับสักแต่ว่า มันก็รับรู้สักแต่ว่า เห็นไหม มันถอนอัตตานุทิฏฐิคือทิฏฐิในตัวตนของตน ทำลายภวาสวะ ทำลายภพแล้ว สิ่งในโลกนี้เป็นของสักแต่ว่า แล้วเราก็ไม่ติดด้วย
ของในโลกนี้สักแต่ว่า จิตใจเราก็เป็นสักแต่ว่า ถ้ามันมีสติปัญญาก็สักแต่ว่า สักแต่ว่าก็สักแต่ว่า ก็เลยกลายเป็นว่า สิ่งใดก็ยังมัวเมาอยู่กับมันนั่นแหละ มันยังเป็นไปไม่ได้ ดูสิ วัตถุที่โลกที่มันกีดขวางอยู่นี่ เวลาเขาประท้วง เขาปิดถนนก็สักแต่ว่า ก็ลุยไปสิ มันปิดถนนก็ให้มันปิดถนน นี่ก็เลยเป็นของที่ไปกีดขวางอยู่เป็นสักแต่ว่า แล้วสักแต่ว่ามันกีดขวางเราไหม ถ้าเราจะใช้ประโยชน์ก็กีดขวางเราเหมือนกัน
ถ้ามันเป็นสักแต่ว่า ถ้าจิตใจเรายังไม่ถอนอัตตานุทิฏฐิ คำว่า “ไม่ถอนอัตตานุทิฏฐิ” มันยังมีตัวตนอยู่นะ มันยังรับรู้อยู่ไง มันไม่พอใจอยู่ มันยังกีดขวางอยู่ แล้วมันสักแต่ว่าตรงไหน มันไม่สักแต่ว่าเพราะเรายังไม่ประพฤติปฏิบัติ เรายังไม่ทำความจริงของเราไง
แล้วโลกนี้ ดูสิ เขาเกิดขึ้นมาแล้ว เขามัวเมากับชีวิตของเขานะ ดูมนุษย์ที่เกิดมาสิ เกิดมาด้วยบุญกุศลนะ มนุษยสมบัติๆ คนเราเกิดมาแล้วถ้ามีอำนาจวาสนาบารมีทำสิ่งใดจะประสบความสำเร็จทางโลกของเขา ถ้าเขาประสบความเสร็จทางโลกมันก็ประสบความสำเร็จทางโลก ทางโลกมันมีเวรมีกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ในการดำรงชีวิตในชีวิตหนึ่งเราจะทำความดีตลอดไป หรือทำชั่วตลอดไปหรือ เวลามีสติปัญญามันก็คิดว่าจะทำดีของมัน แต่เวลามันมีความจำเป็น มีความขัดข้อง มันทำสิ่งใดมันมีเวรมีกรรมมาตลอดไป
ชีวิตนี้เกิดมา เห็นไหม เวลาเกิดมาทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง มันมีสัจจะมีความจริงของมันอยู่แล้ว แล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็ครอบงำ เห็นไหม เรามัวเมากับชีวิต เราใช้ชีวิตของเราไป ทั้งๆ ที่เราเกิดมามีโอกาส เกิดมามีอำนาจวาสนา มีอำนาจวาสนา ดูสิ คนเกิดมาในโลกนี้กี่พันล้านคน แล้วคนที่นับถือพระพุทธศาสนามันมีกี่คน แล้วคนที่นับถือพระพุทธศาสนาแล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติกัน เวลาประพฤติปฏิบัติเพราะอะไร เวลาประพฤติปฏิบัติเพราะว่ามีครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติมา ท่านเป็นความจริง เห็นไหม
ถ้ามันไม่มีครูบาอาจารย์ประพฤติปฏิบัติเป็นความจริง เห็นไหม พระ พระก็เป็นพระพิธีกรรมเท่านั้น พระมีหน้าที่สวดมนต์ พระมีหน้าที่ทำให้การทำบุญในพระ-พุทธศาสนานี้สมบูรณ์เท่านั้นเอง แล้วพระมีอะไร พระก็ว้าเหว่ พระก็มีความทุกข์ พระก็มีกิเลสบีบคั้นเหมือนกัน ถ้าไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม
แต่นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้เอง กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่งๆ แล้วเวลาเจริญขึ้นมา เห็นไหม มันเจริญที่ไหน ศาสนวัตถุ สิ่งที่เป็นวัตถุ สิ่งที่เป็นสิ่งก่อสร้าง ทางโลกเขาก่อสร้างได้วิจิตรพิสดารมากกว่า พระไม่มีปัญญาจะไปสร้างแข่งกับเขาหรอก แต่เวลาสร้างสิ่งใดขึ้นมา เวลาสร้างขึ้นมาสิ่งที่เป็นจิตรกรรมต่างๆ ที่มันสวยงาม สวยงามโลกเขาก็ทำได้ทั้งนั้น เขาทำได้ แล้วพระทำก็เอาทรัพยากรในโลกนี้ขึ้นมาทำ
แต่ถ้าเอาจริงๆ ขึ้นมาแล้ว ศาสนามันอยู่ที่ไหน ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรมๆ อันนั้นมันอยู่ที่ไหน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมา ดูสิ เวลาไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ไม่มีทางออก เวลาองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาออกก็มาออกอานาปานสติเนี่ย
แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ วิชชา ๓ วิชชา วิชชา ๓ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาชำระล้างกิเลสในใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สัจธรรม แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สอนจากตรงนี้ เวลาเทศน์ธัมมจักฯ เทฺวเม ภิกฺขเว ภิกษุไม่ควรเสพทั้งสองส่วน ทางสองส่วนที่เธอไม่ควรเสพ ไม่ควรเสพแล้วทำอย่างไร
ทำอย่างไรเราก็ยังทำไม่ได้ เราทำไม่ได้เพราะอะไร เพราะเรามาจากโลกไง เรามาจากโลก เรามาจากทิฏฐิมานะ เวลาทางโลกเขา เขามัวเมากับชีวิต เขาใช้ชีวิตของเขาเพื่อประโยชน์กับเขานะ แล้ว เห็นไหม ดูสิ คนที่ประกอบสัมมาอาชีวะที่ประสบความสำเร็จ เราก็ชื่นชมกัน เพราะว่าเพื่อชาติเพื่อตระกูล ตระกูลที่มั่นคง ในทางธุรกิจเขาบอกว่าตระกูลใดก็แล้วแต่ชั่ว ๓ อายุคน รักษาไว้ไม่ได้หรอก อันนี้มันทางสถิติ ทางวิชาการที่เขาเก็บสถิติกันไว้ในทางโลก
แต่ถ้าเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ คนเราเกิดมามันมีเวรมีกรรมทั้งนั้น คนเรานะ ดูสิ สร้างอำนาจวาสนามา พ่อแม่มีอำนาจวาสนาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จแล้วลูกมันจะมีเชาวน์มีปัญญาขนาดนั้นหรือ แล้วลูกต่อไปจะมีเชาวน์ปัญญาที่ดีขึ้นไปใช่ไหม? เพราะว่ามันมีเวรมีกรรมไง อภิชาตบุตร บุตรที่ดีกว่าพ่อแม่ก็มี บุตรที่มีความสามารถน้อยกว่าพ่อแม่ก็มี แล้วมันเรื่องเวรเรื่องกรรม แต่เราก็ปรารถนาจะให้ทุกคนประสบความสำเร็จ ทุกคนทำสิ่งใดจะดีงามไปทั้งหมดเลย
ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ท่านที่ประพฤติปฏิบัติแล้วว่ากรรมของสัตว์ๆ ถึงวาระแล้วมันก็เป็นกรรมของสัตว์ พ่อแม่คนใดบ้างที่ไม่รักลูก พ่อแม่คนใดบ้างที่ไม่ปรารถนาให้ลูกเราเลอเลิศ ลูกเราเป็นคนดี แล้วมันฟังเราไหมล่ะ ถ้าเป็นอภิชาตบุตรเขาทำอยู่แล้ว คำว่า “อภิชาตบุตร” กรรมของเขานะ เขาได้สร้างเวรสร้างกรรมของเขามา เขาได้สร้างอำนาจวาสนาของเขามา เขาเกิดมาเขามีอำนาจวาสนา เขาทำได้ดีกว่า
แต่ถ้ามีเวรมีกรรมต่อกันเกิดมาล้างมาผลาญ เกิดมาทำลาย มันก็มีเหมือนกันทั้งนั้น ถ้ามันมีอย่างนั้นมันเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมไง ถ้าเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมเรื่องการกระทำมา ถ้าทำดีมา เราทำบุญกุศลมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนให้เราเสียสละให้เราทำคุณงามความดี การเสียสละไม่ต้องเสียสละแต่วัตถุหรอก การเสียสละ ดูสิ เราเห็นคนทุกข์คนจน เราเห็นคนที่มีความทุกข์มีความยาก เรามีน้ำใจต่อเขาไหม แค่น้ำใจนะ คนเราเวลาทุกข์เวลายากขอให้คนมีน้ำใจกับเราเท่านั้นนะ เวลาข้าวของเงินทองมันยังช่วยเหลือกันได้นะ แต่ที่คนมีน้ำใจต่อกัน คนรักกัน คนดูแลกัน มันอบอุ่น
ในสังคมถ้ามันมีความสงบเรียบร้อย เห็นไหม สมณะชีพราหมณ์จะประพฤติปฏิบัติด้วยความสะดวกสบายเลย ในสังคมมีแต่ความขัดแย้งมีแต่ความโต้แย้ง แล้วเราจะภาวนาที่ไหน เราก็ต้องหลีกเร้นหลบหลีกเข้าไปป่าไปเขา หลบหลีกไปทางที่สงัดวิเวกของเรา ฉะนั้น การเสียสละพยายามมีสติมีปัญญาให้มีกำลังต่อสู้กับกิเลสของเรา อย่าให้กิเลสมันใหญ่โตนัก อย่าให้มันเหยียบย่ำหัวใจนัก คนที่เขามีอำนาจวาสนาเขาอ่อนน้อมถ่อมตน เขาทำตนของเขาไม่กีดขวางใครเลย ไอ้คนที่ขี้ครอกไปไหนวางกล้าม ไปไหนมันจะเหยียบหัวเขาไปหมดเลย กิเลสมันเป็นแบบนั้น
ครูบาอาจารย์ของเราที่มีชื่อเสียงนะ ท่านทำตัวของท่านเรียบง่ายมาก ท่านทำตัวท่านติดดินเลย ไอ้ขี้ครอกไปไหนมันเบ่งกล้ามไป นี่กิเลสเป็นอย่างนี้ กิเลสมันถือตัวถือตน กิเลสมันพยายาม แล้วการถือตัวถือตนเวลากิจกรรมทำสิ่งใดไป มันได้เหยียบย่ำเขาไหม มันได้สร้างเวรสร้างกรรมไหม มันสร้างแต่เวรแต่กรรม เวลากิเลสมันพอกพูนในหัวใจแล้วมันพาให้ความรู้นึกคิดสร้างแต่เวรแต่กรรมทั้งนั้น โดยที่มันยังคิดว่ามันทำถูกต้องดีงามนะ
แต่ครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม สูงสุดสู่สามัญ อ่อนน้อมถ่อมตน แต่ท่านจะมีสัจจะมีความจริงต่อเมื่อเทศนาว่าการ คำว่า “เทศนาว่าการ” นี้คือให้ธรรม เวลาแสดงธรรมอันนี้สำคัญมาก สำคัญมากนะ นี่บันลือสีหนาท คำว่า “บันลือสีหนาท” มันต้องบันลือมาจากความจริง กิเลสมันกลัวมันกลัวตรงนี้ กิเลสมันกลัวธรรมอย่างเดียว กิเลสไม่กลัวสิ่งใดเลย กิเลสมันกลัวสัจธรรมธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วสัจธรรมนี้มันอยู่ที่ไหน นี่ไง สัจธรรมมันอยู่ในหัวใจของครูบาอาจารย์เรา ท่านแสดงธรรม แสดงธรรมเพื่ออะไร แสดงธรรมก็โปรดสัตว์ๆ สัตตะผู้ข้อง
มันมีความรู้อะไร มันเอาตัวมันรอดอย่างไร มันไม่มีสิ่งใดเป็นสัจจะความจริงในหัวใจของตัวเลย มีแต่ความมัวเมา เวลาสั่งสอนธรรมะก็ธรรมเมา เมา เมาทางโลกเขาก็เมากับชีวิต
เวลาเราจะมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เรามีศรัทธามีความเชื่อ คำว่า “มีศรัทธามีความเชื่อ” เราสังเกตได้ไหม เวลาลูกหลานของเราถ้าเด็กมันมีปัญญา มันมีความรู้สึกนึกคิดมันมาจากไหน เด็กของเรา เราพยายามฝึกหัดสั่งสอนเขา ทำไมเด็กของเรามันยังไม่จำ ทำไมมันไม่มีแนวทาง ทำไมมันคิดของมันไม่เป็น มันเป็นจริตนิสัย มันเป็นอำนาจวาสนาของเขา
แล้วถ้าคนมีศรัทธามีความเชื่อ คำว่า “ศรัทธานะ” ศรัทธาเชื่อในอะไร ศรัทธาเชื่อ ดูสิ เวลาการศึกษาเราทางทฤษฎีมันต้องมีภาคการศึกษา ศึกษาเป็นวิชาชีพ ศึกษาทางวิชาชีพสิ่งใดมานั่นคืออาชีพของเขา เขาเอาสิ่งนั้นมา แล้วถ้าเขาศึกษามาแล้ว เขาทำงานไม่ตรงกับสายอาชีพของเขา เขาก็พยายามฝึกฝนของเขาเพื่อประโยชน์กับเขา เพราะคนเราเกิดมามันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีวิต มันก็ต้องมีอาชีพมีสิ่งต่างๆ มีการกระทำใช่ไหม
แต่เวลาเราศรัทธา เราศรัทธาอะไร ศรัทธามรรคผลนิพพาน ศรัทธาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วตัวมันเป็นแบบใดล่ะ เวลาคำว่า “สติๆ” เห็นไหม ทฤษฎี สติ สติคือความระลึกรู้ แล้วเอาอะไรระลึกล่ะ สติความระลึกรู้ นี่ธาตุ ๔ วัตถุธาตุมันระลึกตัวมันเองได้ไหม เวลาทองคำเวลาเขาจะหลอม เขาหลอมด้วยอุณหภูมิจนมันต้องหล่อหลอมละลาย แล้วมันมีความรู้สึกไหม ถ้ามันไม่มีความรู้สึกมันจะเอาอะไรมาระลึกล่ะ ในเมื่อสิ่งที่เป็นธาตุ วัตถุธาตุมันไม่มีชีวิต เอาอะไรมาระลึก
ในตำรามันเป็นกระดาษ คำเขียนว่าสติ สติแล้วมันระลึกได้ไหม หนังสือมันระลึกตัวมันเองได้ไหม ไม่ได้ แล้วสมาธิ ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิมันมีในตัวหนังสือไหม แล้วปัญญาๆ ปัญญามันจะเป็นหนังสือมาได้อย่างไร แต่ทางโลก ทางโลกถ้ามีใครอ่าน นักอ่าน ผู้ที่ขยันอ่านมากคนนั้นจะมีปัญญา มันมีปัญญาเพราะอะไรล่ะ มันมีปัญญาเพราะดูสิ เราอ่านด้วยอะไรล่ะ แล้วด้วยสายตา สายตาเรา สายตามันมาจากไหน มันมาจากจิตทั้งนั้น
ถ้าจิตมันได้ฝึกฝน จิตมันได้อ่าน จิตมันได้ค้นคว้าขึ้นมา มันจะมีความรู้ของมัน ถ้าความรู้ของมันขึ้นมา อย่างนี้มันก็เป็นสุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการศึกษาเล่าเรียน ถ้าปัญญาเกิดจากการเล่าเรียน เล่าเรียนมาเพื่อให้มันมีปัญญา ปัญญานี้ปัญญาทางโลกนะ แล้วปัญญาทางโลกถ้ามันศึกษามาแล้ว ถ้ามันมีทิฏฐิมานะมันเมาตัวมันเองไง รู้มาก ปัญญามาก จบมา ๙ ประโยค ๑๐ ประโยคมีความรู้ท่วมหัว รู้ไปหมดเลย แต่ไม่รู้จักสติ
ถ้ามีสติมีสติสัมปชัญญะ ถ้ามีสตินะ ตัวเขา เขาจะพฤติกรรมของเขา เขาต้องอยู่ในสมณสารูป แล้วคิดดูสิ เห็นไหม ดูสิ เราเป็นฆราวาส ผู้ที่เป็นฆราวาสก็อยากจะบวชอยากมีศีล เพราะเราเวลาประพฤติปฏิบัติแล้วมีคุณธรรม มีศีลมันเป็นพื้นฐาน เวลาปฏิบัติมันก็จะปฏิบัติได้ง่าย เวลาปฏิบัติ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ถ้าศีล ๒๒๗ เวลาบวชมาแล้ว ดูสิ เราธุดงควัตร ศีลในศีล พอศีลในศีล เพราะศีลมันเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส ถ้ามันจะขัดเกลากิเลส เราทำด้วยสัจจะด้วยความจริงของเรา เราไม่ได้ทำด้วยความมัวเมา
เวลาคนจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ เวลาเคร่งครัดก็เคร่งครัดจนเกินไป เวลาผ่อนคลาย ผ่อนคลายก็จนไม่มีจุดหมายปลายทาง เหลวไหลไปหมดเลย เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนที่เธอไม่ควรเสพ แล้วมัชฌิมาปฏิปทาความสมดุลๆ อยู่ตรงไหน เวลาสมดุลขึ้นมา เราตั้งกติกาของเรา แต่เราทำสิ่งใดมันอยู่ที่กาลเทศะ สมควรหรือไม่สมควร ถ้ามันสมควรทำสิ่งใดเราทำด้วยความสมควรนั้น อย่าให้มันมากไป อย่าให้มันน้อยไป แล้วอย่าให้มากไปน้อยไปมันก็อยู่ที่จริตนิสัยของคน
ถ้าจริตนิสัยของคน เห็นไหม สิ่งที่มันจะเป็นไป มันเป็นไปจาก ถ้าคำว่า “สติ” คือการระลึกรู้ แล้วอะไรระลึกล่ะ จิตเป็นผู้ระลึก ถ้าจิตเป็นผู้ระลึกนะ จิตถ้ามีสติปัญญาถ้าไม่มัวเมาไปกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มัวเมากับชีวิต มัวเมากับความรู้ของตัว เรียนมามากก็มีความรู้มาก ศึกษามามากก็ว่ามีปัญญามาก ปัญญาอย่างนี้เขาไว้หาปัจจัยเครื่องอาศัยมาเลี้ยงชีวิต ปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัญญาเป็นวิชาชีพ เขาหาปัจจัยเครื่องอาศัยมาเลี้ยงชีวิต ชีวิตนี่เลี้ยงมันไว้
เพราะชีวิตนี้มันต้องการอาหาร ดูสิ ออกซิเจนถ้ามันขาดไป ๕ นาทีสมองตายมันก็ตายแล้ว มันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยทั้งนั้น แล้วเราทำวิชาชีพของเรา มันก็เป็นวิชาชีพของเรา วิชาชีพเป็นทางโลก การศึกษานี่ก็ศึกษาแบบโลกๆ ไง ถ้าศึกษาแบบโลกๆ ถ้าเราไม่มัวเมากับชีวิต โลกเขามัวเมากับชีวิต เขาก็ใช้ชีวิตของเขาสิ้นเปลืองไป เวลาใกล้จะตายก็จะไปวัดไปวา ก็เพื่อหาสมบัติของตน เพื่อที่จะเดินทางไกล จะหาสมบัติของตัว
ของเราถ้าเรามีสติปัญญา เรายังเป็นหนุ่มเป็นน้อยอยู่นี่ เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไป นั่งสมาธิภาวนามันก็กระฉับกระเฉงนะ เวลามันแก่เฒ่าขึ้นมาแล้ว แก่เฒ่าก็จะหาสมบัติของตัวล่ะ พอมานั่งก็เจ็บไข้ได้ป่วย นั่งมากมันก็จะปวดจะเมื่อยๆ แล้วก็มาเสียใจตอนหนุ่มตอนสาวเราก็ไม่คิดจะทำ พอคิดจะทำขึ้นมามันก็สายไปเสียแล้ว เพราะอะไร เพราะว่าคนแก่คนเฒ่า เห็นไหม มันขี้โรค ขี้โรคเพราะอะไร ขี้โรคเพราะมันผ่านชีวิตมามากไง รัตตัญญูผ่านราตรีมาเยอะ ผ่านประสบการณ์มาเยอะ มันก็เอาพิษเอาภัยมาฝังไว้ในหัวใจเยอะ รู้ไปหมด พิจารณาไปหมด ทำไปหมด แล้วทำสิ่งใดไม่ได้อะไรเป็นประโยชน์เลย มันเอาไว้ไม่อยู่ไง เอาใจของเราไม่ได้ไง
ดูสิ เวลาเด็กไร้เดียงสา จับให้หัดนั่งสมาธิ ถ้าเขานั่งสมาธิได้ เขานั่งได้ง่ายๆ เลยล่ะ เพราะมันยังไร้เดียงสา แต่เวลาโตขึ้นมาให้นั่งสมาธินั่งไม่ได้แล้ว เพราะมันรู้มากเกินไปไง
นี่ก็เหมือนกัน เราศึกษาๆ มาเพื่อเป็นปัญญาของเราไง แล้วถ้าศึกษามาถ้าไปมัวเมากับมันนะ ปริยัติ ปฏิบัติ ปริยัติศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยความเป็นจริงของเราขึ้นมา เราจะไม่มัวเมากับความรู้ของเรา ถ้าเราไปมัวเมากับความรู้ของเรา แล้วกิเลสมันร้ายนัก กิเลสไม่ไว้หน้าใครเลย ไม่ไว้หน้าแม้แต่ตัวเราเอง
ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติแล้ว เห็นไหม ท่านติดดิน ครูบาอาจารย์ที่เป็นคุณธรรมนะ อุปัฏฐากง่ายมาก ไม่ถือไม่สาไม่มีอะไรมาเกี่ยวข้องมามัวหมองในใจเลย
แต่ถ้าครูบาอาจารย์องค์ไหนที่ยังกิเลสท่วมหัวนะ นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ เอาแต่ใจ จะเอาแต่ใจ จะเอาแต่สมความปรารถนาของตัว แล้วไม่มีอะไรสมความปรารถนา เพราะผู้คิดมันก็ยังไม่สมความปรารถนาเลย แล้วผู้อุปัฏฐากมันจะสมความปรารถนาไปที่ไหน
แต่หลวงปู่มั่นนะ เวลาผู้อุปัฏฐากท่าน ของสิ่งใดวางที่ตรงไหน ต้องวางที่ตรงนั้น เคลื่อนที่จากตรงนั้นไป ท่านฟ้าผ่าเลย ท่านจัดการเลย ท่านบอกมันขาดสติ ของสิ่งใดหยิบจับฉวยที่ไหน เวลาไปไว้คืนต้องอยู่ตรงที่เดิมโดยไม่มีคลาดเคลื่อนเลย
อยู่กับหลวงตาท่านก็เป็นแบบนั้น เวลาเช้าขึ้นมาจัดอาสนะที่ฉันนะ เมื่อสมัยที่ท่านยังแข็งแรงอยู่จะมีไม้เจียอยู่ ๒ อัน ต้องวางไอ้ไม้เจีย ๒ อันนี้ พระจะโดนประจำ เพราะมันวางอย่างไร มันก็วางไม่ตรง วางไม้เจียของท่าน ๒ อัน วางไว้ที่ที่ฉันของท่าน มีปัญหาไปหมด มีปัญหาเพราะอะไร เพราะใจเราไม่นิ่ง ใจเราไม่นิ่งจะวางอย่างไรก็ผิด วางอย่างไรก็ผิด
คำที่ว่า “เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านมีคุณธรรม” ท่านว่าท่านติดดิน ท่านไม่มีสิ่งใดที่ให้อุปัฏฐากแล้วให้เกิดความมัวหมอง แต่เวลาท่านใช้อย่างนี้เพื่อฝึกเราๆ ขณะที่ฝึกเรามันคนละเรื่องเลย ฝึกเรานะ ฝึกเรา หลวงตาท่านพูดเอง “อยู่กับหลวงปู่มั่นนะ ปูที่นอนนะ ปูอย่างไรก็ผิด ขนาดเอาชอล์กขีดไว้เลยนะ ไม่ให้ขยับเลยก็ผิด” เวลาท่านภาวนาไปแล้ว ท่านบอกเลย “อือ! มันผิด มันผิดเพราะในใจเรามันผิด” เวลาปูออกไปมันเลยผิดหมดไง
หลวงปู่มั่นท่านไม่ได้เอาที่ผ้าปูที่นอนนั้นถูกหรือผิด ท่านเอากิเลสตัณหาความทะยานอยาก ทิฏฐิมานะในใจของคนมันผิด หลวงตาท่านพูดเอง บอก “ขนาดเราก็จะให้มันถูกหมดเลยนะ ขีดเส้นเอาไว้เลยนะ แต่ปูทีไรก็ผิดทุกที เวลาปูเสร็จแล้ว ท่านมาจับที่นอน จับผ้าที่นอนเขย่าเลย ผิด! มันผิด! มันผิด!”
เวลาครูบาอาจารย์ท่านเป็นแบบนี้ เวลาเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน เพราะหัวใจของท่านมันไม่มีสิ่งใดเข้าไปมัวหมอง เห็นไหม สักแต่ว่า ถอนอัตตานุทิฏฐิ ทิฏฐิในหัวใจ ความสิ่งรับรู้กับความเป็นสักแต่ว่า ไม่มีสิ่งใด ของโลกนี้เป็นสักแต่ว่า แล้วไม่กระทบเพราะไม่มีอัตตานุทิฏฐิ ไม่มีสิ่งใดในใจของท่าน ไม่มีสิ่งใดเข้าไปตกตะกอนในธรรมธาตุอันนั้นได้เลย ไม่มีเลย แล้วมันจะมีอะไรไปขุ่นข้องหมองใจในใจของท่านล่ะ
แต่ท่านเป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ใช่ไหม พ่อแม่ครูอาจารย์ที่จะสั่งสอน เห็นไหม กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง มันเจริญในหัวใจของครูบาอาจารย์ของเรา แล้วสิ่งที่ว่าธรรมในใจของท่าน ท่านจะถ่ายทอดมาให้สู่ใจของเรา แล้วใจของเรามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจใช่ไหม เวลาจะถ่ายทอด ท่านถ่ายทอดผ่านผ้าปูที่นอน ถ่ายทอดผ่านไม้เจีย ไม้เจียที่ไม้แคะฟัน
ครูบาอาจารย์ของเราท่านจะถ่ายทอดจากใจดวงหนึ่งให้สู่ใจดวงหนึ่ง เพราะสิ่งของนั้นมันไม่มีคุณค่าสิ่งใดเลย แต่จิตใจของคนที่หยิบไม้อยู่นั่น จิตใจของคนที่มาปูผ้านอนอยู่นั้น มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลาท่านสับโขก ท่านสับโขกอย่างนั้น สับโขกกิเลสของคน เห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่ท่านไม่มัวเมาในลาภสักการะ ไม่มัวเมาในโลกธรรม ๘ ไม่มัวเมาสิ่งใดๆ เลย
ท่านทำเพื่อประโยชน์ เห็นไหม ประโยชน์ของใจท่านสมบูรณ์แล้ว ประโยชน์ของใจท่านท่านพ้นไปแล้ว แต่ศาสนทายาทท่านพยายามถ่ายทอดๆ ถ่ายทอดเข้าไปสู่จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งนะ แต่โดยชีวิตส่วนตัวของท่านติดดิน ไม่มีสิ่งใดเข้าไปขัดแย้งในใจของท่าน แต่ประโยชน์กับพวกเราไง ประโยชน์กับพวกที่ไปอยู่อาศัยท่าน อาศัยอยู่กับท่าน ประโยชน์อันนั้น ถ้ามันมีทิฏฐิมานะ มันมีกิเลสในหัวใจมันติดตรงนั้น มันติดตรงนั้น ตรงไอ้กิเลสนั้นน่ะ มันขวางเขาไปหมด แล้วมันไม่รู้ตัว มันไม่รู้ตัวหรอก
แต่ถ้ามันรู้ตัวนะ ถ้าเราไม่มัวเมา ดูสิ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเราเพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธ-ศาสนา พระพุทธศาสนามีคุณธรรมมาก แล้วสิ่งที่เกิดมา อริยทรัพย์มันมีคุณค่ามาก ถ้ามีคุณค่ามาก เราก็จะมาประพฤติปฏิบัติของเราไง
การว่าประพฤติปฏิบัตินะ ดูสิ คนที่ไม่มีศรัทธาไม่มีความเชื่อ เขาว่าเรามาทรมานตนกันทำไม แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ตบะธรรม สัจธรรม เราแสวงหาสัจธรรมของเรา ถ้าเราแสวงหาสัจธรรมของเรา เราศึกษามาแล้วในทฤษฎี ในพระไตรปิฎก เราศึกษามาแล้ว อันนั้นศึกษามา ใครอ่านแล้วใช้สติปัญญาไตร่ตรอง เขาจะมีสติปัญญาของเขา ถ้ามีสติปัญญาของเขาในทางโลก สติปัญญาของเขา เขาเอาไว้สอบไง สอบ เวลามันผ่านแล้ว เขาสอบผ่านมันก็ได้ยศถาบรรดาศักดิ์ ผู้ที่สอบผ่านแล้วไง
แต่กรรมฐานเราก็เรียนนะ กรรมฐานเราก็ศึกษานะ แต่ศึกษาแล้วไม่สอบ ศึกษาแล้วนั่งสมาธิ ศึกษาแล้วค้นคว้าหาใจของตัว ถ้าค้นคว้าหาใจของตัวก็ปริยัติเรียนมาเพื่อปฏิบัติ เวลาจะมาประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติ ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ดี ท่านก็พยายามว่า ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติ ก็เริ่มต้นจากจิตของเรา เริ่มต้นจากผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาเป็นวัตถุธาตุ เขาฝึกสติไม่ได้ เขาฝึกสมาธิไม่ได้ เขาจะเกิดปัญญาขึ้นมาไม่ได้ เพราะเขาเป็นวัตถุธาตุ เขาไม่มีสิ่งที่มีชีวิต
แต่จิตใจของเรานะมีชีวิต เพราะว่าปฏิสนธิจิตเกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ เพราะกำเนิดออกมา กำเนิดอยู่ในครรภ์ ๙ เดือน ด้วยอำนาจวาสนาได้ดื่มเลือดในอกจากพ่อจากแม่ คลอดออกมาเป็นเรา พ่อแม่ไม่เลี้ยงดูอยู่ ตายหมดไม่มีชีวิตรอดมาได้ เพราะแม่เลี้ยงมา พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก แล้วชีวิตนี้พ่อแม่ให้การศึกษามา พ่อแม่ทำสิ่งต่างๆ มา ให้ชีวิตนี้มาดูแลมาจนเติบโตมา ถ้าเรามัวเมากับชีวิต เราก็ว่าเราต้องตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่เรา ก็ตอบแทนบุญคุณ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ทิ้งพระเจ้าสุทโธทนะ หนีออกจากราชวังไปเลย ไปประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ กลับไปเทศนาว่าการโปรดพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระอรหันต์ โปรดสามเณรราหุลเป็นพระโสดาบัน ถึงเวลาเอามาฝึกฝนจนสิ้นกิเลสไป โปรดนางพิมพา โปรดหมดเลย
นี่ไง เราจะเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ทางโลกเขาเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่อย่างหนึ่ง ถ้าเปิดหูเปิดตาของพ่อแม่ได้ อันนี้ยิ่งบุญกุศลมหาศาล เพราะการเวียนว่ายตายเกิดนะ เราเห็นกันในชาตินี้ ในชาติปัจจุบันนี้ เราก็จะเห็นกันอยู่นี่ แล้วเวลาใครพลัดพรากไป ใครหมดอายุขัยไปก็ตายไป แล้วภพชาติต่อไปเห็นกันหรือเปล่าล่ะ
แต่บุญกุศลอันนี้เห็น บุญกุศลอันนี้เกี่ยวเนื่องกัน เพราะ เพราะที่มาเกิดนี่ก็ตรงนี้แหละ ที่มาเกิดก็สายบุญสายกรรมนี่แหละ ถ้าไม่มีสายบุญสายกรรมมันไม่เกิดเป็นพ่อเป็นแม่กันหรอก ไม่มีสายบุญสายกรรมมันจะไม่มาเห็นหน้ากันหรอก ไอ้ที่มันเห็นหน้ากัน เห็นหน้าแล้วชื่นชม เห็นหน้าแล้วปลาบปลื้ม กับเห็นหน้าแล้วมันไม่อยากมองหน้า เห็นหน้าแล้วมันต่อต้าน มันมีมาทั้งนั้นแหละ ไอ้นี่ เห็นไหม นี่ไง เรื่องเวรเรื่องกรรมไง
ถ้าเรื่องเวรเรื่องกรรมสิ่งที่มีเวรมีกรรมแล้วนี่เป็นอดีตแล้ว เราในปัจจุบันนี้ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เราจะไม่จองเวรจองกรรมใคร เราจะจองเวรจองกรรมแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา ถ้าเราจะมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็จะปฏิบัติด้วยข้อเท็จจริง ถ้าปฏิบัติด้วยข้อเท็จจริง ครูบาอาจารย์ถึงสอนให้ทำความสงบของใจ นี่คือการปฏิบัติ
เวลาการปฏิบัติคือพยายามจะค้นคว้าหาหัวใจ ให้หัวใจเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราไม่ได้เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาโดยกิริยา ดูสิ โลกในการประพฤติปฏิบัติที่กำลังเห่อเหิมกัน กำลังปฏิบัติกัน ปฏิบัติพอเป็นพิธีๆ เดินจงกรมก็เดินกัน นั่งสมาธิก็นั่งกัน ตุ๊กตามันก็นั่งได้ เดี๋ยวนี้หุ่นยนต์มันทำได้ดีกว่า หุ่นยนต์มันก็ทำของมันได้ แต่เวลาเราทำของเรา เราทำความเป็นจริงของเรา เราทำความเป็นจริง เราก็ต้องค้นคว้าหาหัวใจของเรา
ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติแล้วท่านบอกพยายามฝึกหัดทำสมาธิทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามา มันพร้อม นักกีฬาทุกชนิดเวลาเขาจะลงแข่งขัน เขาต้องมีความฟิตของเขา แล้วเทคนิค เทคนิคต่างๆ เขาก็ไปฝึกฝนของเขาขึ้นมา ใครมีพรสวรรค์พรแสวงเขายังฝึกฝนขึ้นมา ให้มันชัดเจนขึ้นมา แต่ความฟิตต้องมีตลอดไป ไม่มีความฟิตไม่มีกำลังจะไปแข่งกับใคร ถ้ามีกำลังแต่ทักษะไม่ดีมันก็ลงแข่งกับใครไม่ได้เหมือนกัน
หัวใจของเรามันอ่อนแอ ดูสิ มันอ่อนแอ มันมัวเมากับอารมณ์ความรู้สึกของเรา มันมีความรู้สึกนึกคิด ศึกษาสิ่งใดมาก็ว่ามีปัญญา ศึกษาสิ่งใดมาก็ว่ามีความรู้หมด แล้วรู้แล้วจิตมันมหัศจรรย์ไง เวลามันทุกข์มันร้อนขึ้นมามันมีแต่ความเครียด มันมีแต่ความเร่าร้อนเผาหัวใจ คิดถึงธรรมะขึ้นมามันมีแต่ความสดชื่น แหม! ธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันถึงเป็นความมหัศจรรย์ มันคิดขึ้นมา คิดเรื่องธรรมไง
คิดเรื่องธรรม ธรรมะคืออะไร เวลาธรรมะขึ้นมา สัจจะ เห็นไหม ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ชี้ให้เห็นเหตุแห่งทุกข์ แล้วเราก็ไปศึกษา แล้วเราก็เห็นเหตุแห่งทุกข์ มันทึ่ง ทั้งๆ ที่ความทุกข์ก็อยู่กับเรา เวลาเราทุกข์เราร้อนขึ้นมาเราก็ทุกข์ๆ เรามันมีแต่ความทุกข์ความร้อน มีแต่ความทุกข์ แต่เราไม่เห็นว่าทุกข์เป็นอย่างไร
แต่เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์มันเป็นความจริง พอมันเป็นความจริง อ้อ! ทุกข์ เอ้อ! เราทุกข์เนอะ แล้วเราทำไมคล้อยตามความทุกข์ไปล่ะ เอ้อ! มันทุกข์จริงๆ พอมีสติปัญญา เอ้อ!มันวางทุกข์ได้ พอวางทุกข์ได้มันทึ่งนะ โอ้! ธรรมะพระพุทธเจ้าสุดยอด สุดยอด
เวลาคนศึกษา ศึกษามาอย่างนั้น ถ้าคนมีอำนาจวาสนานะ ถ้าคนที่ไม่มีวาสนาศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้ว “ศึกษามาแล้ว ศึกษามาทำไม ศึกษามาใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ มันต้องศึกษาอาชีพต่างหาก ต้องทำธุรกิจต่างหากมันถึงจะเป็นประโยชน์”
ดูสิ ดูศรัทธาความเชื่อของคน อำนาจวาสนาของคน ถ้าคนมีอำนาจวาสนามันใช้ประโยชน์ขึ้นมาได้ มันเห็นคุณค่าของชีวิตนี้มาก ถ้าชีวิตนี้ได้ประพฤติปฏิบัติ ขณะศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยปัญญาอบรมสมาธิ ด้วยศึกษาธรรม สัจธรรม เอามาค้นคว้ามันยังมีผลขนาดนี้ แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติไปจริงๆ เนี่ย ถ้ามันพ้นทุกข์ไปจริงๆ มันจะมีผลขนาดไหน ถ้าคนมีสติปัญญามันคิดอย่างนี้ มันจะไม่มัวเมากับชีวิต มันไม่มัวเมากับการประพฤติปฏิบัติ
การประพฤติปฏิบัติเราต้องไม่มัวเมาไม่ยึดมั่น เราทำเราประพฤติปฏิบัติสิ่งใดแล้ว เราทำสิ่งใด เห็นไหม เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราต้องพยายามคิดว่าเราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้ากิเลสมันคิดนะ นั่งสมาธิสองชั่วโมงมันก็ไม่สงบ ห้าชั่วโมงก็ไม่สงบ ปฏิบัติมาเจ็ดวันแล้ว ทำภาวนามาสองเดือนแล้วมันยังไม่ได้ มันกดดันตัวเองทั้งนั้นเลย
ถ้าเราประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง เราด้วยเหตุด้วยผลนะ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเรามีเหตุมีผล เห็นไหม ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามามหาศาล ฟังธรรมฟังเทศน์ของครูบาอาจารย์มาก็เยอะ แต่ทำไมเราวางอารมณ์ วางใจของเรามันไม่สมดุล ทำไมมันปล่อยวางไม่ได้ มันเป็นเพราะอะไรล่ะ
ถ้ามันจะมีสติปัญญามาหาเหตุหาผลของเรา ถ้าหาเหตุผลของเรา เราทำของเรา เราทำบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาทำบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่กิเลสมันก็ไม่มาโต้แย้ง แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเราจะฆ่ากิเลส เราพยายามจะต่อสู้เอาชนะตนเอง โอ้ย! กิเลสมันออกมาโต้แย้งๆ กิเลสกับธรรมก็ต่อสู้แล้วเราก็แพ้ทุกทีเลย แพ้มันตลอด แพ้มันตลอดเพราะอะไร เพราะมันเป็นเจ้าวัฏจักร มันพาใจดวงนี้เวียนว่ายเวียนเกิดมาไม่มีต้นไม่มีปลาย มันอยู่ในหัวใจนี้มาจนมันเป็นแก่นของกิเลส
สิ่งที่ชำระล้างได้ยากที่สุดคือกิเลสตัณหาความทะยานอยากของคน
ต้นไม้ภูเขาเลากาที่มันกีดขวางสิ่งใด เรามีเครื่องยนต์กลไกสามารถขยับเขยื้อนมันได้ง่ายๆ เลย แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากของคนอยู่ในใจของคนนี้แก้ยากที่สุด ถ้าเป็นทางโลกเขาบอกว่าคิดแบบว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ คิดไม่ออก แล้วมันก็เป็นไปไม่ได้ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็คือไม่รู้ตลอดไป รู้เท่าไม่ถึงการณ์รู้ไม่เท่าทันกิเลสตัณหาความทะยานอยาก คิดสิ่งใดทำสิ่งใดก็ให้กิเลสมันชักใยอยู่ตลอดเวลา แม้แต่การประพฤติปฏิบัติ แม้แต่การระลึกพุทโธ แม้แต่การกำหนดอานาปานสติ กิเลสมันก็ยังว่าเมื่อไรจะได้ เมื่อไรจะเป็น แล้วเมื่อไรจะได้สักที แล้วเป็นอย่างไรจะได้ เห็นไหม
กิเลสมันมีอำนาจเหนือกว่าตลอดเลย แต่ถ้าเราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า เราไม่ได้ปฏิบัติเข้าไปเพื่อต่อกรกับกิเลส กิเลสมันสบายใจว่าไม่มีใครไปกวนมัน เราบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เหตุมันสมดุล มันสงบได้ มันสงบได้ เพราะกิเลสมันไม่เข้ามาโต้แย้ง กิเลสมันไม่เข้ามาต่อต้าน มันสงบได้ มันสงบได้ เห็นไหม มันมหัศจรรย์ สิ่งที่มหัศจรรย์ จิตสงบ เห็นไหม มันมีความมหัศจรรย์มีความรับรู้
แต่ถ้ามัวเมา เห็นไหม ถ้ามันเมากับสมาธิธรรม ว่าสิ่งนี้มันมัวเมา ถ้ามันมัวเมาอยู่แล้วมันก็ยึดมั่นถือมั่นของมัน ถ้ายึดมั่นถือมั่นของมัน เห็นไหม จะเอาอย่างนี้ จะเอาอย่างนี้นะ ปฏิบัติไปตัณหาซ้อนตัณหา เวลาปฏิบัติไปนะ กิเลสมันเป็นแบบนี้ ถ้าเกิดมาแล้วมัวเมา มัวเมากับชีวิต เวลาประพฤติปฏิบัติก็มัวเมากับมัน เห็นไหม
เวลามัวเมากับมัน ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ถ้ามันจะมีสติมีปัญญามันเกิดสัจธรรม เกิดสัจธรรมคือเกิดความคิด เกิดความรู้สึกดีๆ พอเกิดความรู้สึกดีๆ โอ๋ย! ตื่นเต้นๆ มันจะมัวเมาไปกับมันไง ถ้ามัวเมากับความรู้สึกอย่างนี้ แล้วว่าความรู้สึกอย่างนี้มันจะเป็นสัจจะเป็นความจริง มันเป็นอดีตไปหมดแล้วแหละ
เห็นไหม เวลาธรรมเกิดๆ เวลาธรรมเกิดนะ เรามีสติมีปัญญาใคร่ครวญธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาเรียกว่าธรรมเกิด เวลาธรรมเกิดมันเกิดธรรมสังเวช เวลามันเกิดธรรมสังเวช “แหม! ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐมาก ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายอดเยี่ยมมาก”
แล้วถ้ามันไม่มีสติปัญญานะ ถ้ามันมัวเมาอยู่นี่ เวลามันเสื่อมไป งงไปหมดเลยนะ เพราะอะไร เพราะจิตนี้มันเป็นนามธรรม จิตนี้มหัศจรรย์นัก จิตนี้ เวลาไฟไหม้ ของมีน้ำหนักขนาดไหนมันแบกได้ ไปฉิวเลย เวลาจิตมันไม่มีใครครอบงำ มันแสดงออกได้อย่างนั้นเลย นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติไป เวลาธรรมะมันเกิดมันมีคุณธรรม มันมีสัจธรรม มีความรู้ของมัน แล้วเวลามันเสื่อมไปๆ ที่เสื่อมไปเพราะมัวเมา มัวเมากับความรู้ความเห็นของตัว แล้วยังพยายามจะยึดมั่นความรู้ความเห็นของตัวว่านั่นเป็นสมบัติของเรา
สิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมมันผ่านไปแล้ว สิ่งที่มันผ่านไปแล้ว แล้วถ้าเราพยายามไประลึกมันก็เป็นอดีต มันเป็นอดีตไปแล้ว อนาคตยังไม่มา แล้วมันก็ไปยึดติดอยู่อย่างนั้น แล้วอย่างนี้มันเป็นช่องทางของกิเลสเลย กิเลสมันทั้งยุทั้งแหย่ ทั้งด้วยเหตุผลของมัน แล้วเราไปไม่เป็น งง งงแล้วหันรีหันขวางเลยแหละ
เกิดแล้วมัวเมา มัวเมากับมันโดยที่ไม่มีเหตุมีผล การที่มัวเมา มัวเมาเพราะเหตุใด มัวเมาเพราะเราที่เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติใหม่ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า เวลาที่นักปฏิบัติเรา เวลาปฏิบัติมันมีคราวที่ทำได้ยากอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งคือคราวเริ่มต้น คราวเริ่มต้น หญ้าปากคอกที่เราพยายามจะพาหัวใจของเราให้มั่นคง พาหัวใจของเราให้มีเหตุมีผล เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ
สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุ นั่นเป็นธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเป็นธรรมชาติที่มันมีอยู่โดยดั้งเดิม สัจจะมันมีอยู่ เห็นไหม นั่นเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ เราก็บอกนั่นเรารู้ นั่นเราเห็น นั่นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเวลากิเลสมันเกิดขึ้นมา มันบีบบี้เรา นี่ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ
ถ้าเราตรึกในธรรม ตรึกในธรรม เวลาธรรมมันเกิด ธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า เราตรึกในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเหตุด้วยผล ดูสิ เราซื้อสินค้ามา เราใช้สินค้านั้น เราไม่ได้ผลิตเอง สินค้าเราซื้อมาทุกอย่างดีไปหมดเลย ยิ่งออกใหม่ ยิ่งของที่ใครยังไม่เคยมี โอ๋ย! สุดยอดเลย เราซื้อของเขามา ธรรมะขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเป็นธรรมชาติ สัจธรรมมันมีอยู่ เราระลึก เราคิดของเรา เราไตร่ตรองของเราไง
เราใช้ปัญญาใคร่ครวญในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ถ้ามันเป็นความจริงก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ แต่ถ้าเรามัวเมากับมัน เราก็ว่าเราคิดเอง เราเป็นคนคิด เราเป็นคนใช้ปัญญา ทำไมมันจะไม่เป็นธรรมะของเรา แต่มันใช้เพราะมันยังไม่มีพื้นฐาน มันยังไม่มีสัจจะไม่มีข้อเท็จจริงของมัน มันก็คิดไตร่ตรองในธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม ศึกษามาก็เอาสิ่งนั้นมาเป็นธรรม แล้วเราก็ใคร่ครวญ ตีความไป ตีความไป เห็นไหม
สิ่งนี้ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ สิ่งนี้เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราพิจารณาขนาดไหนแล้วเรามาตรึกในธรรมๆ ผลของมันถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา มันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ แล้วถ้าพิจารณาบ่อยครั้งเข้าๆ เวลาธรรมมันเกิดๆ มันขนลุกขนพอง พอขนลุกขนพองขึ้นมา เห็นไหม แล้วมันมัวเมาไปกับมันไง บริหารจัดการมันไม่เป็นไง เวลามันเสื่อมไป หันรีหันขวาง งุนงงไปหมดล่ะ
นี่ไง สิ่งที่มันเป็นนามธรรมๆ มันไม่ใช่วัตถุธาตุ มันไม่ใช่การศึกษา เวลาศึกษาขึ้นมาแล้ว เวลาส่งข้อสอบ เห็นไหม เขาให้คะแนนเท่าไหร่ คะแนนก็คือคะแนนไง เวลามันถ้าให้คะแนนผ่านแล้วมันก็คือจบ แต่! แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไม่เป็นอย่างนั้น ใครให้คะแนน มีแต่กิเลสมันให้เรา โอ๋ย! ปฏิบัติแล้ว พอมันปล่อยวาง พระโสดาบัน พอมันปล่อยวาง สกิทาคามี พอปล่อยวาง พระอรหันต์ มันอะไรของมันนั่นน่ะ
นี่ไง มันแค่รับรู้สิ่งที่มันเป็นตะกอนในใจ เราเกิดมาทุกคนมีปมในใจ มีตะกอนในใจ แล้วเวลาตรึก ตรึกธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยสัจธรรมอย่างนั้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราตรึกขึ้นมา มันปลดเปลื้องตะกอนในใจอันนี้ได้ มันปลอดโปร่ง มันโล่งไปหมด มันโล่ง มันปลอดโปร่ง ถ้ามันเป็นความจริงแล้วมันเป็นปัญญาอบรมสมาธิทั้งนั้น แล้วสิ่งที่เป็นนามธรรม เห็นไหม
ดูสิ ทางการศึกษา เวลาสอบแล้ว คะแนนมันก็ตายตัว ไอ้นี่เวลาเป็นสมาธิแล้ว เวลามันสงบแล้ว เวลามันคลายตัวออกมาก็จบ ปัญญามันพิจารณาไปแล้ว มันปล่อยวางแล้ว เวลาธรรมมันเกิดมันรู้เท่า ปมในใจมันปล่อยวาง เอ้า! แล้วอย่างไรต่อ มันมีปมในใจ ทีนี้ปมอันนี้ก็เกิดอีกแล้ว ปมในใจปมอันใหม่ไง ปมที่มันเกิดธรรมะ เกิดธรรมเกิดนี่ไง อันนี้ก็เป็นปมใหม่ เรารู้ เราเห็น เราเข้าใจ ปมอันนี้เกิดอีกแล้ว แล้วทำอย่างไรต่อ แล้วพอมันเสื่อมไปก็งงนะ งงๆ พอเกิดธรรมก็งง เกิดธรรมก็มัวเมาไปกับมัน มันขาดสติขาดปัญญา
แต่ถ้ามันมีครูบาอาจารย์ มีสติมีปัญญา ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้วรำพึงไปให้เห็นกาย ให้เห็นกาย ให้เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ถ้ามันไม่เห็น ดูสิ คนไม่เห็น ทำไมมันจะไม่เห็น ของมันอยู่กับเราทำไมมันไม่เห็น เวลาถ้าบอกว่าจิตสงบแล้วมันว่างๆ หมดเลย แล้วทำอะไรไม่ได้เลย
นั่งสมาธินั่งโดยสติ ถ้าจิตลงแล้ว เดี๋ยวพอนั่งนานไป พอจิตมันคลายตัวออกมา เวทนามันมีแน่นอน แต่จิตสงบนะ พอจิตสงบ จิตมันเป็นสมาธิมันไม่รับรู้เวทนาเลย อันนั้นก็เป็นไปได้ แต่ถ้าเรานั่งของเรา นั่งต่อเนื่องไปโดยสติปัญญา มันต้องเห็นได้ เพราะมันมีอยู่ มันมีอยู่ของมัน ถ้ามีอยู่ของมัน ถ้ามันเห็นจริง ถ้าจิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตตามความเป็นจริง ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันรู้ได้นะ มันรู้ได้ มันรู้ได้ว่า เอ๊อะ! สิ่งที่เป็นนามธรรม จิตนี้เป็นนามธรรม เป็นสัมมาสมาธิ
สมาธิเวลาเกิดขึ้นมา ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ เรารู้ได้เลยว่าเป็นสมาธิเพราะอะไร เพราะว่าถ้ามันเป็นขณิกะ เห็นไหม มันสงบเข้ามาเดี๋ยวมันก็คลายออกไป ถ้าเป็นอุปจาระ ถ้าเรากำหนดพุทโธมันต่อเนื่องกันไป มันเป็นอุปจาระ อุปจาระ ทำไมมันถึงเป็นอุปจาระ อุปจาระมันมีกำลัง พอมีกำลัง อุปจารสมาธิมันมีวงรอบของมัน คือมันรับรู้ได้ เวลาจิตสงบแล้วได้ยิน ได้ยินเสียงอยู่ เรายังรับรู้สัมผัสกายอยู่นี่อุปจาระเพราะมันสัมผัสได้
พุทโธๆๆ จนละเอียดเข้าไป จนมันสักแต่ว่ารู้ อย่างนี้พิจารณาไม่ได้ เพราะมันสืบต่อไม่ได้ มันจิตมันสักแต่ว่า มันเป็นเอกเทศ เป็นหนึ่งเลย มันพิจารณาไม่ได้ เรานั่งสงบแล้วมันคลายตัวออกมา เห็นไหม เป็นอุปจาระ อุปจารสมาธิ พอสมาธิรับรู้ได้ สมาธิรับรู้ได้ยินเสียงได้ สมาธิคิดได้ ถ้าคิดได้ เห็นไหม รำพึงน้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เวลามันเห็นขึ้นมามันสะเทือนหัวใจมากๆ
คำว่า “มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก” เป็นข้อเท็จจริงไง มันไม่ใช่ว่า โอ๋! พอจิตสงบแล้ว มันพิจารณามันปล่อยวางหมดเลย แล้วพอมันคลายตัวออก มันเสื่อมไปแล้ว งง ไปไหนไม่เป็น ทำอะไรไม่ถูกเลย มันธรรมเมา ไปมัวเมากับธรรมะ ไม่เป็นสัจจะ ไม่เป็นความจริง
ถ้าจิตสงบแล้วนี่ จิตสงบ เห็นไหม รำพึงไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริงเพราะอะไร จิตเห็นอาการของจิต จิต จิตที่เป็นสัมมาสมาธิ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตที่กำเนิด ๔ แล้วจิตมันเข้าไปเป็นตัวมันเอง จิตจริง เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง จิตปลอม ปลอมเพราะสัญญาอารมณ์ จิตปลอมเพราะมันโดนกิเลสครอบงำ แล้วมันรำพึงของมันไป มันมัวเมา มันเป็นธรรมเมา มันไม่เป็นความจริง
เราพยายามทำความสงบของใจเราเข้ามา ถ้าใจสงบแล้ว เห็นไหม ถ้าจิตมันปลอม เวลามันคลายตัวออกมา งงๆ นะ งงๆ เพราะอะไร งงๆ เพราะว่าถ้ามันปฏิบัติตามความเป็นจริงมันจะมีสติ สตินี้เวลาพุทธานุสติกำหนดพุทโธโดยข้อเท็จจริง ด้วยคำบริกรรม จิตเป็นผู้บริกรรม จิตบริกรรมจนจิตนี้ไม่ออกไปแส่ส่าย อยู่กับพุทธานุสติ อยู่กับพุทโธจนจิตนั้นเป็นหนึ่ง
ถ้าจิตนี้พิจารณา พิจารณาไตร่ตรองธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิด พิจารณาความคิด ความคิดที่เกิดจากจิต ความคิดที่มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่กับจิต จิตนี้มันส่งออกไปโดยข้อเท็จจริง ส่งออกไปโดยกิเลส เห็นไหม
ดูสิ วัตถุธาตุที่มันไม่มีชีวิต มันไม่มีความรู้สึก มันมีสติขึ้นมาเองไม่ได้ มันมีสมาธิไม่ได้ มันมีความรู้สึกไม่ได้ มันทำสิ่งใดไม่ได้ แต่จิตของคน จิตของคนที่เกิดเป็นมนุษย์ๆ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วประพฤติปฏิบัติมันมีตัวจิต ตัวจิตคือตัวภวาสวะ ตัวภพ ถ้าตัวภพขึ้นมา เวลามันใช้ปัญญาของมันไป มันใช้ของมันไปโดยข้อเท็จจริง โดยข้อเท็จจริงคือสัญชาตญาณของมนุษย์มันก็คิดไปโดยอวิชชา ความคิดอันนี้มันมีภวาสวะ มันมีตัวภพ มันมีตัวจิตนี้อยู่
ตัวจิตนี้อยู่ เห็นไหม กำเนิด ๔ จิตที่มันกำเนิด เวลากำหนดพุทโธขึ้นมา จิตมันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันสงบเข้ามา ด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ใช่ธรรมเกิด ไม่ใช่เกิดแล้วมัวเมา ธรรมเมา เมาไปกับมัน ทำไมถึงเมา เมาเพราะมีอวิชชาไง เมาเพราะพญามารมันครอบงำอยู่ แล้วมันบังคับบัญชาให้เป็นอย่างนั้น
แต่ด้วยอำนาจวาสนาของเรา ด้วยสติปัญญาของเรา ด้วยการประพฤติปฏิบัติของเรา แล้วเรามีครูบาอาจารย์ เพราะครูบาอาจารย์ต้องเดินรอยนี้มา ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมา นี่บุคคล ๔ คู่ จิตที่กำเนิดขึ้นมามีบุคคล ๔ คู่แล้วประพฤติปฏิบัติมา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำของท่านมาก่อน แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ดูสิ หลวงปู่ขาว หลวงปู่พรหม ครูบาอาจารย์ หลวงปู่ตื้อ ที่ว่าท่านสั่งสอนมา ท่านสั่งสอนมาแล้วท่านคุมมา พิจารณากันมาด้วยข้อเท็จจริงอย่างนี้ มันเป็นบัณฑิต บัณฑิตที่ธมฺมสากจฺฉา ด้วยข้อเท็จจริงออกมา
แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันเป็นข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบกันมาๆ ตรวจสอบกันมาด้วยบัณฑิต ด้วยคนที่มีคุณธรรม แล้วสิ่งที่ทำมา ครูบาอาจารย์ท่านผ่านอย่างนี้มา แล้วเราจะมาประพฤติปฏิบัติไง ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราไม่มัวเมากับความรู้ความเห็นของเรา เราจะเอาข้อเท็จจริง
ถ้าข้อเท็จจริงมันเกิดขึ้นมา เพราะสัจจะมีอันเดียว อริยสัจมีหนึ่งเดียว การปฏิบัติอันเดียวกัน ถ้าทำขึ้นมามันจะช่องทางไหนก็แล้วแต่ พระอรหันต์คือพระอรหันต์ เอตทัคคะ ๘๐ องค์ ด้วยความชำนาญ แต่อาสวักขยญาณเหมือนกัน อันเดียวกัน ถ้าอันเดียวกันก็อันเดียวกัน ถ้ามันสื่อสารกัน ถ้ามันผิดกัน มันจะเป็นอันเดียวกันได้อย่างไร ถ้าเป็นอันเดียวกัน อันเดียวกันเวลาประพฤติปฏิบัติกันมามันต้องเป็นความจริงถ้าจิตจริง
จิตจริงคือสมาธิจริง สมาธิที่สงบระงับแล้ว เห็นไหม เรารำพึงไปถ้ามันไม่เห็น ถ้าคนไหนมีอำนาจวาสนามันจะรู้จะเห็นโดยสัจจะนะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปมันจะมีจริตนิสัย คืออำนาจวาสนาของจิตแต่ละดวงมันไม่เท่ากัน ถ้าอำนาจวาสนาของจิตแต่ละดวงมันไม่เท่ากัน นี่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรม ท่านจะสอนตามข้อเท็จจริงนี้ ตามข้อเท็จจริงเพราะว่าจิตที่ทำมาเสมอกัน จิตที่มีเวรกรรมซ้ำรอยกันมาไม่มี
จิตดวงใดก็แล้วแต่จะต้องเป็นสัจจะของเขา เขาทำสิ่งใดมา เขาเป็นหนี้เวรหนี้กรรมสิ่งใดมา เขาจะต้องไปถอนหนี้เวรหนี้กรรมด้วยมรรคญาณของเขาในจิตใจของเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้สัจจะของคนอื่น หรือที่จะใช้สัจจะที่มันจะคล้ายคลึงกัน เป็นไปไม่ได้! มันต้องเป็นความจริงของใจดวงนั้น ถ้าเป็นความจริงของใจดวงนั้นก็ใจของเรานี่ไง ถ้าใจของเรา เราถึงจะไม่มัวเมากับสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นอดีตไปทันทีๆ มันเป็นอดีตไปแล้ว
ฉะนั้น เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราถึงต้องมีสติ เราต้องมีกำหนดพุทโธ เราต้องใช้ปัญญาอบรมสมาธิ แต่ถ้าผู้ที่ชำนาญแล้ว ผู้ที่ชำนาญแล้วกำหนดได้เลย กำหนดแล้วมันจะเป็นตามข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริง เพราะเราได้เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญมาจนเราชำนาญ ถ้าเราไม่ชำนาญนะ เวลาจิตมันสงบแล้วถ้าคนที่มีอำนาจวาสนาเห็นกาย เห็นกายนี่เขาพิจารณากายของเขาไป พอพิจารณาไปแล้วมันใช้กำลังไปแล้ว จิตมันต้องเสื่อมลงเป็นธรรมดา ถ้าเสื่อมลงเป็นธรรมดา เขาทำความสงบของใจของเขาไม่ได้ขึ้นมา เขาจะเห็นกายอย่างนั้นอีกไม่ได้เลย
ถ้าเขาจะเห็นกาย เห็นกายอย่างนั้นมา เขาต้องกลับมาทำความสงบของใจให้มีวุฒิภาวะ ให้มีภพภูมิพอที่จะเห็นกายอย่างนั้นได้ แล้วถ้าจิตเขาเสื่อมไปแล้ว ถ้าเขาทำสมาธิ ทำกำลังของจิตขึ้นมาให้มีกำลังอย่างนั้นไม่ได้ เขาก็ต้องพยายามทำจิตให้สงบให้ได้ ถ้าทำความสงบให้ได้ เห็นไหม ทำความสงบให้ได้ มันถึงเวลาคนที่มันมีความชำนาญ ชำนาญเพราะเหตุนี้ไง
ชำนาญเพราะจิต จิตมันใช้งานไปแล้ว จิตมันพิจารณาไปแล้ว มันใช้กำลังไป กำลังมันต้องมันทอนกำลังไปอยู่แล้ว แล้วกำลังจะฟื้นมาได้อย่างไร ถ้ากำลังมันฟื้นมาได้ ฟื้นมาได้ด้วยสมาธิอย่างเดียว อย่างอื่นไม่มี ถ้าฟื้นมาได้ด้วยสมาธิ สมาธิเกิดจากอะไร สมาธิเกิดจากพุทธานุสติ เกิดจากปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าสมาธิเกิดจากพุทธานุสติ เกิดจากปัญญาอบรมสมาธิ แล้วถ้าย้อนกลับมาถ้าทำสมาธิไม่ได้ สมาธิไม่มีพื้นฐานได้ จะกลับไปเห็นกายอย่างนั้นได้อีกอย่างไร ถ้าเห็นกายอย่างนั้นอีกไม่ได้ ทำสิ่งใดต่อไปไม่ได้ นี่ไง นี่ไม่ใช่ธรรมเมา นี่เป็นข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงจิตเจริญแล้วเสื่อม
จิตของผู้ที่ปฏิบัติมีเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ ถ้าเวลามันเสื่อม เสื่อมแล้วแก้ไขอย่างไร เสื่อมแล้วทำอย่างไร ถ้ามันทำไม่ได้ ทำไม่ได้อดนอนผ่อนอาหาร จะทำอย่างไรก็ได้ ต้องฟื้นฟูจิตขึ้นมาให้ได้ ถ้าฟื้นฟูจิตขึ้นมาได้มันจะก้าวเดินต่อไปได้ ถ้าก้าวเดินต่อไปได้ เช่น มันจับพิจารณากาย กายที่มันพิจารณาไปแล้ว มันปล่อยวางไปแล้ว ปล่อยวางไปแล้วนั่นเป็นอดีตไปแล้ว สิ่งที่เป็นอดีตก็เหมือนประสบการณ์ เห็นไหม
ดูสิ นักกีฬาที่เขาประสบความสำเร็จของเขาในชีวิตของเขา เวลาเขาเลิกจากอาชีพเป็นนักกีฬา เห็นไหม เขายังมีชีวิตของเขาอยู่ไง สิ่งที่ประสบการณ์ของเขา เขานักกีฬาอาชีพที่เขามีชื่อเสียงกิตติศัพท์ กิตติคุณ เวลาเขาเลิกไปแล้วนี่เขาก็เป็นตำนานนะ จิตของเรา เราได้พิจารณาแล้ว เราได้ใช้ปัญญาของเราไปแล้ว เวลามันเสื่อม เวลามันคลายออกมา มันก็เป็นอย่างนั้นนะ มันไม่อยู่คงที่ตายตัวเหมือนวัตถุ
อันนี้เป็นจิต จิตถ้ามีการกระทำอย่างนี้มันฝึกหัดอย่างนี้ เราไม่มัวเมานะ เวลาทางโลกเขาก็มัวเมากับชีวิตของเขา เขาไม่เอาจริงเอาจัง เขาทำจริงทำจังไม่ได้ เพราะเขาห่วงว่าสิ่งที่เขาทำแล้วมันจะไปสะเทือนกับอาชีพของเขา เขาก็ห่วงชีวิตของเขา เขาว่าชีวิตของเขามีคุณค่าไง แต่เขาไม่รู้จักใจของเขามีคุณค่าหรือเปล่าไง
แต่ที่เราประพฤติปฏิบัติถ้าจิตใจเรามีคุณค่า เราทำจิตใจของเราให้สูงส่งขึ้นมา เราก็ต้องดูแลหัวใจของเราสิ หัวใจของเราต้องดูแลของเราไง มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโกไง เราต้องทำของเราต้องดูแลของเราขึ้นมา ถ้าดูแลของเราขึ้นมามันยกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนาไปแล้ว มันเป็นข้อเท็จจริงแล้ว มันไม่เมา ไม่เมาเพราะมันสติ มันเป็นสติ มันมีสมาธิ มันเป็นปัญญา มันเป็นมรรค มันจะเมาไปได้อย่างไร เพราะมันรสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง
เวลาเราล้มลุกคลุกคลาน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยการมัวเมากับธรรมะ ธรรมเมา เราก็เป็นมาแล้ว เวลาเป็นมาแล้วล้มลุกคลุกคลานอย่างนั้น เข็ดหรือไม่เข็ด ทำแล้วทำเล่า ดูสิ การเกิดแต่ละภพชาติหนึ่ง การเกิดชีวิตหนึ่งมันก็แสนยาก ไม่มีอำนาจวาสนาก็ไม่ได้มาเกิดเป็นคน พอเกิดเป็นคนขึ้นมาแล้วมีศรัทธามีความเชื่อออกประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติก็ล้มลุกคลุกคลาน ทำแล้วเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ มันไปไม่รอด
เวลาทำขึ้นมาแล้วเราจนมีสติปัญญา ฝึกฝนจนมันเข้าที่เข้าทาง พอเข้าที่เข้าทางขึ้นมาแล้วมันยกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนาไปได้เราจะถนอมรักษาอย่างไร ถ้าเราถนอมรักษาอย่างไร เราจะทำให้มันเจริญก้าวหน้ามาได้อย่างไร ถ้ามันเจริญก้าวหน้าขึ้นมา มันเจริญก้าวหน้าที่ไหน เจริญก้าวหน้าที่ว่าทำการบ้านแล้วส่งครูใช่ไหม มันเจริญก้าวหน้าเข้ามา มันก็เจริญก้าวหน้าจากหัวใจอันนี้ ถ้าหัวใจอันนี้มันพิจารณาแล้วมันปล่อยวางขึ้นมา มันก็เจริญก้าวหน้าของมัน แล้วมันปล่อยวางแต่ละครั้งแต่ละคราวขึ้นมา มันก็เข้มแข็งมากขึ้น มันมีประสบการณ์มากขึ้น มันเท่าทันกิเลสมากขึ้น
เวลากิเลสมันเจอมรรค มรรคเข้าไปทำลายมัน มันก็ถอยของมันไป กิเลสมันไม่ยอมตาย กิเลสไม่เคยยอมใคร แก่นของกิเลส การทำความชำระล้างสิ่งใดในโลกนี้ที่มันจะสกปรกขนาดไหน มันจะลึกลับซับซ้อนขนาดไหน มันก็ไม่ลึกลับซับซ้อนไปกว่ากิเลสของคน กิเลสของคนไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่จะเข้าไปเผชิญหน้ากับมันแล้วทำลายมันได้ เว้นไว้แต่มรรค แล้วมรรคอันนั้นจะต้องเกิดจากจิตของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก
ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “อานนท์ เราเอาแต่ธรรมของเราไปเท่านั้น เราไม่ได้เอาของใครไปเลย เอาแต่ของเราเท่านั้น ธรรมและวินัยนี้ที่เราแสดงแล้วจะเป็นศาสดาของเธอ”
เป็นศาสดาแต่ไม่ใช่เรา เป็นศาสดาเป็นผู้สอน เป็นศาสดาเป็นตัวอย่าง ผู้ที่กระทำคือจิตของเรา ถ้าจิตของเรามันทำขึ้นมาเป็นความจริงขึ้นมา มันมีคุณธรรมขึ้นมาในใจของเรา มันเป็นสัจธรรม นี่ชีวิตที่มีค่าๆ มีค่าที่ เห็นไหม มีค่าที่หัวใจนี้มันมีค่า หัวใจที่มีค่าขึ้นมา มันจะมีค่าขึ้นมาตอนที่เราค้นคว้า เราเห็นหัวใจนี้
คนเราถ้าไม่รู้จักชีวิตนี้มันมีคุณค่า เขาใช้ชีวิตของเขาด้วยสำมะเลเทเมา อันนั้นเขาใช้ชีวิตของเขาด้วยความสิ้นเปลือง คนที่มีความทุกข์ความยากในหัวใจคิดทำร้ายตัวเอง ฆ่าตัวเองตาย เขายิ่งแย่ใหญ่ ยิ่งร้ายใหญ่ไปเลย
แล้วของเรา ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ายังไม่สิ้นสุดแห่งทุกข์ท่านยังไม่อยากตาย ไม่อยากตาย เวลามันเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา อย่างไรก็ได้พยายามถนอมรักษา ธรรมโอสถพยายามเอาใจของตัวฟอก พยายามต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บให้มันบรรเทาลง แล้วถ้ามันมีสิ่งใดที่เข้ามาต่อกรเพื่อทำให้โรคภัยไข้เจ็บนี้หายได้ หายขึ้นมา เพราะอยากประพฤติปฏิบัติ อยากจะฆ่ามันๆ อยากจะทำลายมัน ให้สิ้นสุดกันเสียที ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติ หัวใจท่านปรารถนาตรงนี้ทั้งนั้น
ถ้ามันปรารถนาตรงนี้ทั้งนั้น เราถึงต้องมีแก่ใจไง มีแก่ใจมีการกระทำ อย่าไปมัวเมากับชีวิต อย่าไปมัวเมากับธรรมเมา เอาความจริงดีกว่า มันจะมากจะน้อยขึ้นมาก็เป็นข้อเท็จจริงนั้น ดูสิ เวลาเงิน เงินที่เป็นเงินปลอมมันจะมีมากขนาดไหน มันก็ไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย เวลาเขาใช้จ่ายกันโดยหลอกลวงขึ้นมามันก็มีผลกระทบไปทั้งนั้น เวลาเงินจริง บาทเดียวก็มีค่า
สติ สมาธิ ปัญญา ถ้าไม่เป็นความจริงขึ้นมา เราไม่มัวเมาไปกับมัน เราสร้างขึ้นมาให้เป็นความจริงของเราขึ้นมาถ้าเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว เราค้นคว้าของเรา การกระทำของเราขึ้นมา ให้มันเป็นความจริงๆ ความจริง ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาตรงนี้มาก “อานนท์ เธอบอกเขานะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาด้วยอามิสเลย” เพราะใครปฏิบัติบูชาขึ้นมา ใครทำขึ้นมาก็เป็นสมบัติของเขา เราตั้งสติก็เป็นสติของเรา เราตั้งไม่ถูกตั้งไม่เป็นก็ล้มลุกคลุกคลานไป ฝึกฝนจนกว่าเราจะทำของเราเป็น ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่เป็นสมบัติของคนคนนั้น
“อานนท์ บอกเขาเถิด ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิดๆ”
ปฏิบัติบูชาขึ้นมา บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่หัวใจของเขาจะเกิดมรรคเกิดผล ถ้าเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมาเขาจะกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยหัวใจของเขา เวลาเขาบรรลุธรรมขึ้นมา เขาเห็นคุณธรรมขึ้นมา คุณธรรมนี้ได้แต่ใครมาๆ ฝึกฝนเกือบเป็นเกือบตาย ศึกษามาจำได้ทั้งนั้นหมดเลย แต่มันไม่มีข้อเท็จจริงในใจแม้แต่น้อยเลย แต่เวลาทำขึ้นมาๆ ทำด้วยความล้มลุกคลุกคลาน ทำขึ้นมาด้วยความทุกข์ความยาก เห็นไหม
ปริยัติเรียนมาเพื่อปฏิบัติๆ แล้วปฏิบัติขึ้นมาแล้วอย่าปฏิบัติพอเป็นพิธี ถ้าปฏิบัติพอเป็นพิธีอย่างนั้น ธรรมเมาๆ เวลาธรรมเมา เมาในธรรมนั้นไง มันมัวเมากับชีวิต มัวเมากับธรรมเมา มันไม่มีความจริงขึ้นมาในหัวใจ
ถ้ามันจะเป็นความจริง ความจริงในหัวใจขึ้นมา มันไปกลัวทุกข์กลัวยากไปทำไม ความทุกข์ความยากอยู่ในท้อง ๙ เดือนทุกข์ไหม คลอดออกมาถ้าไม่พ้นออกมาก็ตาย ใช้ชีวิต ชีวิตมีคุณค่าแล้วเราทำอะไร ถ้าทำขึ้นมามันมีคุณค่าขึ้นมาอย่างนี้ ถ้ามีคุณค่าขึ้นมามันย้อนกลับมา มันมีกำลังใจ มันทำได้ทั้งนั้น แต่ถ้าไม่มีสติปัญญามันจะคิดใคร่ครวญน้อยเนื้อต่ำใจไปกับเขา โลกเป็นแบบนี้นะ โลกมีแต่คิด คิดแต่อยากให้คนช่วยเหลือคนอุ้มชู
แต่นักปฏิบัติเรา ครูบาอาจารย์ของเรา อย่างเช่น ครูบาอาจารย์องค์ใดท่านเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ท่านก็เจ็บไข้ได้ป่วยของท่าน แต่ท่านก็พยายามของท่าน ท่านพยายามนะ เจ็บไข้ได้ป่วยก็เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มันเป็นธรรมโอสถด้วย แล้วถ้าประพฤติปฏิบัติ ถ้ายังมีกิเลสในหัวใจ เราพยายามจะต่อสู้ เราพยายามจะแก้ไขให้มันจบสิ้นกันในชาตินี้ ขอให้มันจบสิ้นกันในชาตินี้
คนเราถ้าไม่ได้ทำบุญกุศลเกิดอีกจะได้เป็นมนุษย์หรือเปล่า?
แต่ถ้าได้ทำบุญกุศล เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา สหชาติใครเกิดร่วมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้มาเพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ แต่อำนาจวาสนาของเรา เราเกิดกึ่งพุทธกาล ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ การเกิดเป็นมนุษย์ของเราแต่ละภพแต่ละชาติอายุของเราไม่เกิน ๑๐๐ ปี
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒,๕๐๐ ปี กี่ชั่วอายุคน แล้วเราเวียนว่ายตายเกิดมา เราเกิดมาอย่างนี้ เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วถ้ามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ตรวจสอบได้ ฟังเนี่ยมันเข้าใจได้เลยล่ะ เราประพฤติปฏิบัติสมาธิเราทำไม่เป็นหรือ สมาธิเราก็ทำเป็นใช่ไหม ปัญญาเราก็รู้ แล้วถ้าปัญญา ปัญญาโดยโลกียปัญญามันมีอยู่ทั่วไป
แต่ถ้าเป็นภาวนามยปัญญาสิ ภาวนามยปัญญาคนที่ไม่เคยภาวนา คนที่ภาวนาไม่เป็นไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจโดยที่ว่าถ้าเราไม่เข้าใจ เราฟังแล้วมันขัด แล้วเราฟังไม่ออก เพราะเราเป็นโลกียปัญญา แต่เมื่อใดเราฝึกฝนของเรา เขาเรียกว่าฟังธรรมเป็น ฟังธรรมเป็น ถ้าธรรมนี้มันเกิดจากภาวนามยปัญญา ปัญญามันเป็นปัจจุบัน ปัญญามันเกิดขึ้นจากจิต ปัญญานี้มันการฝึกฝนขึ้นมา
ดูสิ เวลาแมวกับหนู หนูมันกลัวแมวมากเพราะมันเป็นคู่ปรับกัน แมวมันก็จะกินหนู หนูมันก็หวงชีวิตของมัน มันจะหนีกัน มันจะทำร้ายกันมาตลอด อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าโลกียปัญญากับภาวนามยปัญญา แล้วเวลากิเลสกับธรรมๆ ที่มันฟังเป็นๆ มันฟังเป็นมันก็เหมือนแมวกับหนู ถ้าแมวกับหนูนะ โดยสัจจะโดยข้อเท็จจริง แมวมันก็จับหนูกินเป็นอาหาร หนูเกิดมามันก็รักชีวิตของมัน มันเป็นเรื่องสัจจะเป็นความจริงอย่างนั้นโดยธรรมชาติ โดยสัจจะอย่างนั้น ในการประพฤติปฏิบัติของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราประพฤติปฏิบัติกิเลสกับธรรม ถ้ามันทำได้จริง นี้มันกลับกันน่ะสิ มันกลับกัน แมวมันไม่จับหนู มันมีอะไร มันแปลกไหมว่าแมวมันไม่จับหนู ถ้าแมวมันไม่จับหนูมันจะไปฆ่ากิเลสไปได้อย่างไร โดยธรรมชาติแมวมันต้องจับหนูสิ แต่ทำไมแมวมันให้หนูขี่หลังมัน ทำไมแมวมันให้หนูมาลูบหัวมันเล่น มันกลับกัน เห็นไหม
ฉะนั้น ถึงบอก ถ้าเราไม่มัวเมากับมัน เราต้องมีสติปัญญา เราต้องใคร่ครวญ เราต้องพยายามศึกษา ศึกษานะ ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อถ้ามันสะเทือนหัวใจนะ จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง จากใจดวงหนึ่ง จากใจดวงของครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมา เวลาประพฤติปฏิบัติมา ดูสิ ดูครูบาอาจารย์ทุกองค์ท่านกลัวเรื่องกิเลสของคนมาก เพราะอะไร เพราะกิเลสในใจของเราเวลามันปกปิดในใจเรา เรารู้ไม่ได้เลย แล้วเราก็ให้มันเหมือนหนูมันขี่หลังแมว มันกลับกันเลย เรารู้ไม่ได้เลย มันมหัศจรรย์ขนาดไหน
แต่เวลาเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา เกิดมรรค คำว่า “เกิดมรรค” นะ เวลามรรคมันเคลื่อน มันมหัศจรรย์ คำว่า “มหัศจรรย์” ทุกคนก็ว่ามหัศจรรย์ๆ แล้วมหัศจรรย์ของใคร มหัศจรรย์ของคนเมาใช่ไหม คนกินเหล้าเมาแล้วแอ่นแปล้เลย“ไม่กินอีกแล้ว เบื่ออีกแล้ว” เดี๋ยวมันกินอีกแล้ว มหัศจรรย์อย่างนั้นหรือ
นี่ก็เหมือนกัน เวลามหัศจรรย์ มหัศจรรย์ตามความจริง ภาวนามยปัญญา แล้วพอภาวนามยปัญญา บุคคล ๔ คู่นะ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค มันยิ่งมหัศจรรย์เข้าไปใหญ่ แล้วเวลาภาวนาขึ้นไปเวลากิเลสมันพลิกแพลงขึ้นมา โอ้โฮ! มันหลอกทุกขั้นตอน เพราะกิเลสอย่างหยาบ กิเลสก็หลานมัน เวลาฆ่าหลานมันแล้ว หลานกับพ่อ เวลาพ่อมัน หลานกับลูก แล้วลูกมันก็ต้องโตขึ้นมา เวลาพ่อ เวลาปู่ มันลึกลับซับซ้อนไปหมดล่ะ มันเท่าทันกันไม่ได้
ฉะนั้น มันถึงเป็นสติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา เวลาสติปัญญา เราก็ต่อสู้กันขนาดนี้ ล้มลุกคลุกคลานขนาดนี้ เวลาขึ้นไปไม่รู้มหาสติ มหาปัญญาเป็นอย่างไร แต่ถ้าเราฝึกฝนมีครูบาอาจารย์คอยชี้นำขึ้นไป เวลามันยกขึ้นสู่มหาสติ มหาปัญญา โอ้โฮ! เขาว่ามหัศจรรย์ๆ ไปเลย มหัศจรรย์นั่นอยู่ท้ายแถว มันละเอียดไปเรื่อยๆ จนมันถึงที่สุดมันขึ้นไปข้างบนเป็นปัญญาญาณ ปัญญาญาณไม่ใช่ปัญญาในขันธ์ ไม่ใช่ความคิด เพราะความคิดมันหยาบเกินไป
เวลามันเป็นปัญญาญาณ ญาณหยั่งรู้ อาสวักขยญาณ ทำลายอวิชชา ทำลายจนสิ้นไป เห็นไหม ฉะนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ท่านปรารถนาตรงนี้ ทำอย่างไรก็ได้ขอให้มันจบกันชาตินี้
อย่ามัวเมากับชีวิต เวลาปฏิบัติก็ให้มีข้อเท็จจริง อย่าเป็นธรรมเมา ทำพอเป็นพิธี ทำเล่นๆ เวลาทำเล่นๆ จะเอาความจริง เวลาทำเล่นๆ เห็นไหม กิเลสมันไม่เล่นด้วยนะ กิเลสมันหลอกหน้าหลอกหลัง ถ้าวันใดศรัทธามันท้อแท้แล้วเอ็งจะรู้สึก เวลาจิตเสื่อมเวลาคนทุกข์ยากใครจะดูแล
แต่ถ้ามันเป็นความจริง เรามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ เห็นไหม พ่อ แม่ ครูจารย์ เป็นที่พึ่งของเรา เอวัง